ขิง หรือ Ginger เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกนอกมีสีน้ำตาลออกเหลือง เนื้อภายในมีสีนวลมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จะแทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ ซึ่งประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นสองแถว ใบรูปหอกเกลี้ยงๆ กว้างโดยประมาณ 1.5 - 2 ซม. ยาวโดยประมาณ 12 - 20 ซม. หลังใบห่อจีบเป็นรูปรางนำปลายใบสอบเรียวแหลม โคนใบเป็นสองแคบและจะเป็นกาบหุ้มลำต้นเทียมเอาไว้ ตรงช่วงระหว่างกาบกับตัวใบจะหักโค้งเป็นข้อศอก ดอก สีขาว ออกรวมกันเป็นช่อรูปเห็ด หรือกระบองแบบโบราณ แทงขึ้นมาจากเหง้า ชูก้านสูงขึ้นมาประมาณ 15 - 25 ซม. ทุกๆ ดอกที่กาบสีเขียวปนแดงรูปโค้งๆ ห่อรองรับ กาบจะปิดแน่นเมื่อดอกยังอ่อนอยู่ และจะขยายอ้าออกให้เห็นดอกในภายหลัง กลีบดอกและกลีบรองของกลีบดอก มีอย่างละ 3 กลีบ อุ้มน้ำ และหลุดร่วงไว โคนกลีบดอกม้วนห่อ ส่วนปลายกลีบผายกว้างออกเกสรตัวผู้มี 6 อัน ผลกลมแข็งโต วัดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม.
ขิงขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า ปลูกในดินร่วนซุยผสมปุ๋ยหมัก หรือดินเหนียวปนทราย โดยยกดินเป็นร่องห่างกันประมาณ 30 ซม. ปลูกห่างกันประมาณ 20 ซม. ลึกประมาณ 5 - 10 ซม. ขิงชอบขึ้นในที่ชื้น มีการระบายน้ำที่ดี ถ้าน้ำขังอาจเกิดโรคเชื้อรา ส่วนการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ อาจเป็นการลงทุนที่สูงแต่ก็คุ้มค่า และจะได้พันธุ์ที่ปลอดเชื้อ
เพราะส่วนใหญ่โรคที่พบมักติดมากับท่อนพันธุ์ขิงนั่นเอง
ขิงมีอยู่หลายชื่อ ตามแต่ละถ้องถิ่น ได้แก่ จันทบุรี เรียก ขิงแกลง หรือ ขิงแดง, เชียงใหม่ เรียก ขิงเผือก , แม่ฮ่องสอน เรียก สะเอ, ภาคกลาง เรียก ขิงบ้าน, ขิงแครง, ขิงป่า, ขิงเขา หรือ ขิงดอกเดียว, จีนแต้จิ๋ว เรียก เกีย
สรรพคุณในขิง
เหง้า : รสหวานเผ็ดร้อน ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด เจริญอากาศธาตุ สารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ เหง้าสด ตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ
ต้น : รสเผ็ดร้อน ขับลมให้ผายเรอ แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
ใบ : รสเผ็ดร้อน บำรุงกำเดา แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
ดอก : รสเผ็ดร้อน แก้โรคประสาทซึ่งทำให้ใจขุ่นมัว ช่วยย่อยอาหาร แก้ขัดปัสสาวะ
ราก : รสหวานเผ็ดร้อนขม แก้แน่น เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ แก้บิด
ผล : รสหวานเผ็ด บำรุงน้ำนม แก้ไข้ แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
แก่น : ฝนทำยาแก้คัน
ขิงยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอและอีกมากมาย ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำเหง้าสดหมกไฟรับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร
สารเคมีและสารอาหารที่สำคัญในขิง
ในเหง้าขิงมี น้ำมันหอมระเหยอยู่โดยประมาณ 1 - 3 % ขึ้นอยู่กับวิธีปลูก และช่วงของการเก็บรักษา ในน้ำมันของขิงประกอบด้วยสารเคมี ที่สำคัญ เช่น ซิงจิเบอรีน (Zingiberene), ซิงจิเบอรอล (Zingiberol), ไบซาโบลี (bisabolene) และแคมฟีน (camphene) มีน้ำมัน (oleo - resin) ในปริมาณสูง เป็นส่วนที่ทำให้ขิงมีกลิ่นฉุน และมีรสเผ็ด ส่วนประกอบสำคัญ ในน้ำมันซัน ได้แก่ จินเจอรอล (gingerol), โวกาออล (shogaol), ซิงเจอโรน (zingerine) มีคุณสมบัติเป็นยากัดบูด กันหืน ใช้ใส่ในน้ำมันหรือไขมัน เพื่อป้องกันการบูดหืน สารที่ทำให้ขิงมีคุณสมบัติเป็นยากันบูด กันหืนได้คือ สารจำพวกฟีนนอลิค
น้ําผักที่แนะนำ
- น้ำขิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น